สัญญาณโลกาวินาศตามคติของศาสนาต่างๆ
องค์ศาสดาของทุกศาสนา ได้มีการทำนาย เรื่องความวิบัติของโลกทุกศาสนา เหมือนและตรงกันหมด เป็นความบังเอิญหรือไร? เพราะคำพยากรณ์ขององค์ศาสดาทุกพระองค์ บังเกิดเกิดขึ้นคนละมุมโลก ต่างกันด้วย ภูมิประเทศ ภาษา วัฒนธรรม
กิระดังได้ยินมา
ศาสนาพุทธ
จาก “พุทธทำนาย” ซึ่งถอดความจากศิลาจารึก เชตวันมหาวิหาร สวนมฤคทายวัน ประเทศอินเดีย กล่าวว่า " ดูก่อนอานนท์ เมื่อศาสนาตถาคตล่วงเลยไปถึงกึ่งพุทธกาล สัตว์โลกทั้งหลายที่เกิดในยุคนั้นจะพบความลำบากทุกชาติทุกศาสนา ตามธรรมชาติอันหมุนเวียนของโลก ที่หมุนไปใกล้ความแตกทำลาย แผ่นดินแผ่นน้ำจะลุกเป็นไฟ มนุษย์และสัตว์จะได้รับภัยพิบัติสารพัดทั่วทิศ "
.....ในศิลาจารึก นั้นยังบันทึก อีกว่า " คนในสมัยนั้น ( คือปัจจุบัน ) จะมีวิสัยโหดดุจกำเนิดจากสัตว์ป่าอำมหิต จะรบราฆ่าฟันกันถึงเลือดนองแผ่นดินแผ่นน้ำ ส่วนเวไนยสัตว์ผู้ขวนขวายในกุศลตามวัจนะของตถาคต ก็จะระงับร้อนไม่รุนแรง บ้านเมืองใดมีความเคารพยำเกรงในพระรัตนตรัยและคุณบิดามารดา เหตุร้ายภัยพิบัติจักเบาบาง แต่ก็จะหนีกฏธรรมชาติไม่พ้น
.....เริ่มแต่พระพุทธศาสนาล่วงเลย 2,500 ปีเป็นต้นไป ไฟจะลุกลามทางทิศตะวันออก ไหม้วัดวาอารามสมณะชีพราหมณ์จะอดอยากยากเข็ญ ลูกไฟจะตกจากฟ้าเป็นเพลิงผลาญ เหล็กกล้าจะทะยานจากน้ำ มหาสมุทรจะชอกช้ำ สงครามจะทั่วทิศ ศึกจะติดเมือง ทหารจะเป็นเจ้า ข้าวจะขาดแคลน ทั่วแคว้นจะอดอยาก ผีโขมดป่าจะเข้าเมือง พระเสื้อเมืองพระทรงเมืองจะหนีเข้าไพร ผู้เป็นใหญ่มีอำนาจจะเรียกแมลงผีเสื้อเหล็กนับแสนตัว มาปล่อยไข่เป็นไฟผลาญ ยักษ์หินที่ถูกสาบมาเป็นเวลานาน จะตื่นขึ้นมาอาละวาดโลก ดินฟ้าอากาศจะแปรปรวน ตลิ่งจะพัง แผ่นอธรรมจะถล่มเป็นทะเล โลกมนุษย์จะดิ่งสู่ความหายนะ นักปราชญ์จะถูกทำร้ายให้สิ้นสูญ
คำพยากรณ์ของศาสนาอิสลาม
อัลกุรอานเรียกโลกาวินาศว่า อัสสาอะหฺ นบีมุฮัมมัด ศาสดาแห่งอิสลามได้พยากรณ์สัญญาณของโลกาวินาศไว้ดังต่อไปนี้
ใน "อัล-กุรอ่าล ” บัญญัติไว้ ว่า ศรัทธาในวันพิพากษา
......ศาสนาอิสลามยอมรับในวันอวสานของโลกเช่นเดียวกับศาสนายิวและศาสนาคริสต์ ในวันนี้อัลลอฮ์จะเสด็จมายังโลกเพื่อ
พิพากษาการกระทำของมนุษย์ ความศรัทธาเช่นนี้จะช่วยให้มนุษย์ตั้งตนอยู่ในความไม่ประมาท ระมัดระวังความชั่ว
ไม่ให้เกิดขึ้นและเพียรพยายามสร้างความดีให้เกิดขึ้นเรื่อย ๆ แม้นจะเหนื่อยยากปานใดต้องอดทนเพื่อโลกหน้าที่สมบูรณ์
และดีกว่าโลกนี้ โลกหน้าจึงเป็นผลมาจากการกระทำในโลกปัจจุบัน ชีวิตที่เกิดขึ้นในโลกหน้าหลังจากที่ได้รับการพิพากษา
แล้วจะเป็นชีวิตนิรันดร์ ส่วนผู้ที่กระทำความชั่ว สิ่งที่ตอบแทนคือ ไฟชำระและนรกภูมิ
......ชาวมุสลิมจึงไม่เผาศพ แต่นิยมฝังศพ เพื่อรอวันพิพากษาจากอัลลอฮ์และไม่นิยมลงโทษตนเองโดยการเผาตัวตาย เพราะว่าการเผาจะเกิดขึ้นครั้งเดียวเท่านั้นในวันพิพากษาโลกหรือวันกิยามะฮ์ มนุษย์ไม่มีสิทธิที่จะเผากันเองนอกจากพระเจ้าเท่านั้น เพราะ “ การลงโทษมนุษย์ด้วยไฟเป็นหน้าที่ของพระเจ้า มนุษย์ลงโทษมนุษย์ด้วยไฟไม่ได้ เพราะว่าการลงโทษด้วยไฟเป็นหน้าที่ของพระเจ้า ชาวมุสลิมเชื่อว่า โลกนี้เป็นเพียงสถานที่พักพิงชั่วคราว เป็นที่ทดสอบความภักดีที่มีต่ออัลเลาะห์ (ซุบฯ) เมื่อวันพิพากษามาถึงมนุษย์ทุกคนจะกลับมีชีวิตอีก เพื่อรับการพิพากษาขั้นสุดท้าย วันนั้น...ท้องฟ้าจะแตกเป็นเสี่ยงๆ ดาราในฟากฟ้าจะกระจุยกระจาย หลุมฝังศพทุกหลุมจะเปิดออก คนดีจะได้ขึ้นสวรรค์ คนเลวจะตกนรก และถูกเผาในวันพิพากษา”
คติวันโลกาวินาศของศาสนาคริสต์พระเยซู (ปฐมกาล 7:21) พระเยซู (มัทธิว 24:37) และเปโตร (2 เปโตร 3:6-12)กล่าวว่า "บรรดาสัตว์ที่เคลื่อนไหวก็ตายสิ้น" ต่างได้เห็นการพิพากษาที่คล้ายคลึงกับการพิพากษาในยุคของโนอาห์ซึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อพระคริสต์เสด็จกลับมาอีกครั้ง ความชั่วร้ายของมนุษย์ในนานาชาติจะเข้าสู่สงคราม จะเกิดการกันดารอาหาร จะมีแผ่นดินไหวหลายแห่ง ทั้งจะเกิดโลกภัยไข้เจ็บแพร่ระบาด จะเกิดมีผู้พยากรณ์เท็จตามที่ต่าง ฯ ความรักของมนุษย์จะเย็นลง ผู้คนจะเห็นแก่ตัว,เห็นแก่เงิน,หมิ่นประมาทพระเจ้า,อกตัญญู,ไม่รักซึ่งกันและกัน,ดุร้าย,ไมมีไมตรีต่อกัน,มีธรรมะแต่ภายนอก,แต่ภายในปฏิเสธ. มนุษย์จะอยู่ด้วยความกลัว เพราะมืดมน ไม่รู้ทางออก. จะ มีผู้เผยแพร่พระวจนะของพระเจ้า แจ้งข่าวดีขณะที่ใกล้วันสิ้นโลก. จะมีการตกลงกันเพื่อสร้างสันติภาพ จะเกิดความทุกข์ลำบากครั้งใหญ่. การเมือง ศาสนา การค้าของโลกจะเข้าสู่ภาวะวิกฤต. และที่สุด ก็จะยุติลง โดยการทำลายล้าง ณ.อาร์มาเกดดอน. เฉพาะแต่คนชั่วจะถูกทำลาย แต่คนที่ผู้ที่เชื่อฟังพระวจนะจะรอด.
ยุคของโนอาห์ก็เหมือนกับความชั่วร้ายของโลกปัจจุบันซึ่งจะถูกพิพากษาเมื่อพระคริสต์เสด็จกลับมา
สิ่งบอกเหตุที่เป็นสัญญาณเตือนความวิบัติ
แต่ก่อนที่จะเกิด ความวิบัติ จะมีสัญญาณบอกเหตุ ซึ่งก็ทุกศาสนา ก็จะตรงกันหมด ก็คือ การที่มนุษย์กระทำสิ่งชั่วร้าย ไม่ดีงามเอง ฝืนคำสั่งสอนขององค์ศาสดา เริ่มทำบาป เสื่อมถอยทางจริยธรรม คุณธรรม จนในที่สุดมนุษย์ ก็จะถึงกาลวิบัติ
องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้กล่าวไว้ กับพระอานนท์
.....ในระยะนั้นศาสนาของตถาคตเสื่อมลงมาก เพราะพุทธบริษัทไม่ตั้งอยู่ในศีลธรรม เชื่อคำของคนโกง กล่าวคำเท็จไม่เคารพหลักธรรมนิยม คนประจบสอพลอได้รับการเชื่อถือในสังคม ผู้มีศีลธรรมประพฤติชอบกลับไม่มีใครเคารพยำเกรง พระธรรมจะเริ่มเปล่งแสงรัศมีฉายส่องโลกอีกวาระหนึ่งก็ต่อเมื่อมีธรรมิราชโพธิญาณบังเกิดขึ้นอยู่ในความอุปถัมภ์ของพระเถระผู้ทรงธรรมฤทธิ์ ทั้งสองพระองค์สถิตย์ ณ เบื้องตะวันออกของมัชฌิมประเทศ จะเสด็จมาเสริมสร้างศาสนาของตถาคตให้รุ่งเรืองสืบไปถึง 5.000 พระวรรษา
......ดูก่อนอานนท์ เวลานั้นพลโลกเหลือน้อย คำทำนายของตถาคตนี้ย่อมยังเวไนยสัตว์ให้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ผู้ใดรู้แล้วไม่เชื่อ นับว่าเป็นกรรมของสัตว์โลกที่ต้องสิ้นสุดไปตามกรรมชั่วของตน
สัญญาณบอกเหตุที่ มีบัญญัติไว้ในคัมภีม์ อัลกุรอัล คือ
1. นมาซจะถูกถือเป็นเรื่องไม่สำคัญ
2. มนุษย์จะใช้ชีวิตโดยการตามฮาวานัฟซู กิเลสตัณหา
3. ทรัยพ์สมบัติจะถูกเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ จะเคารพนับถือทรัพย์สินเงินทอง
4. ศาสนาจะถูกขายไปเพื่อแลกกับดุนยา
5. ในสภาพต่าง ๆ เหล่านี้หัวใจของมุอ์มินจะแตกสลาย เหมือนกันการละลายของเกลือในน้ำ แต่ทำอะไรมิได้
6. ผู้ศรัทธาถูกทำให้ไร้ความสามารถ (พวกเขาเห็นถึงความชั่วต่าง ๆ ในสังคมแต่ทำสิ่งใดไม่ได้)
7. บรรดาผู้นำที่ชั่วช้าจะถูกนำมาปกครองประชาชน จะมีตัวแทนที่เป็นคนชั่วร้าย พวกทรยศกดขี่จะมาปกครองบ้านเมือง
8. และในวันนั้นสิ่งที่ชั่วช้าจะเปลี่ยนเป็นสิ่งที่ดี (เป็นสิ่งที่มนุษย์ถูกเชิญชวนให้ทำ) และคนที่ซื่อสัตย์จะถูกกล่าวหาว่าเชื่อถือไม่ได้
9. ผู้หญิงจะขึ้นมาครองเมือง
10. และหญิงที่เป็นทาสจะเป็นที่ปรึกษาทางการเมือง
11. บรรดาเด็กอ่อนหัดทั้งหลายจะขึ้นบนมิมบัร
12. การโกหกจะถือว่าเป็นศิลปะที่น่ายกย่อง
13. การจ่ายซะกาตจะถูกถือเหมือนกับหนี้สิน (จะจ่ายไปด้วยความยากลำบาก)
14. เงินต่าง ๆ ของกองคลังจะมีคนรุมแย่งกันเหมือนเป็นสินสงคราม
15. มนุษย์จะไม่ให้เกียรติบิดามารดาของตนเอง จะรักเพื่อนมากกว่าพ่อแม่
16. ดาวหางจะเกิดขึ้นอย่างมากมาย
17. ผู้หญิงจะเป็นที่ปรึกษาทางการค้าของสามี
18. ฝนจะตกในฤดูร้อน
19. คนดีจะถูกโกรธกริ้ว (สังคมจะเกลียดคนดี)
20. มนุษย์จะดูถูกคนจนคนลำบาก
21. ตลาดการค้าจะสร้างกันอย่างมากมาย
22. ในหมู่ผู้ค้าขายจะตำหนิพระองค์
23. จะมีผู้ปกครองกลุ่มหนึ่งปกครองประชาชน และเมื่อใครพูดคัดค้าน โทษคือความตายและถ้าเงียบเขาก็จะรุกรานทรัพย์สินและความบริสุทธิ์ต่าง ๆ ของประชาชน เพื่อจะทำให้ประชาชนอยู่ภายใต้การปกครองที่หวาดกลัว
24. ในวันใกล้สิ้นโลก จะมีสิ่งต่าง ๆ ที่มาจากทางทิศตะวันตกและตะวันออก และสิ่งเหล่านั้นจะใส่สีให้กับอุมมะห์ของฉัน (จะมามอมเมาประชาชาติไม่ว่าจะเป็นความคิด การเป็นอยู่ ฯลฯ)
25. เด็ก ๆ จะไม่ได้รับความเมตตา
26. ผู้ใหญ่ก็จะไม่ได้รับการให้เกียรติ (เช่น ความเป็นลุงป้า น้า อา สิ่งเหล่านี้ในอิสลามต้องให้เกียรติ)
27. คนที่ทำให้ผิดจะไม่ได้รับการให้อภัย (จะไม่มีความยอมความอลุ่มอล่วยไม่มีความเมตตาต่อกัน)
28. การพูดจาลามกมากมาย
29. ผู้ชายจะเพียงพอกับผู้ชาย (จะเกิดการรักร่วมเพศมากมาย)
30. ผู้หญิงจะเพียงพอกับผู้หญิง (จะเกิดเลสเบี้ยนมากมาย)
31. เด็กเล็ก ๆ จะถูกทำเป็นทาส
32. ผู้ชายจะทำตัวเป็นหญิง
33. ผู้หญิงจะทำตัวเป็นชาย (ทำตัวเป็นผู้ชายอกสามศอก ไม่ว่าจะเรื่องใด เช่นการแต่งตัวเลียนแบบชาย หรือมีนิสัยที่ห้าวหาญกระด้างกระเดื่องเยี่ยงชาย เป็นต้น)
34. ผู้หญิงจะขึ้นมาขี่บนอานม้า (ผู้ออกมาใช้พาหนะที่ไม่ใช่คุณลักษณะของผู้หญิง)
35. มัสยิดจะถูกประดับประดาด้วยทองคำ
36. และกุรอานจะถูกประดับประดาสวยงาม
37. หอคอยต่าง ๆ บนมัสยิดจะถูกทำให้สูงแข่งกัน
38. แถวนมาซจะเต็ม แต่ด้วยหัวใจที่โกรธเคียดแค้นชิงชังกัน (แตกแยกกัน)
39. บรรดาผู้ชายในประชาชาติของฉันจะใส่ทองคำ
40. ผู้ชายจะสวมอาภรณ์ผ้าไหม เสื้อยกเงินยกทอง
41. หนังเสือก็จะเอามาใช้มาคลุมกัน
42. ดอกเบี้ยจะเป็นที่แพร่กระจาย
43. จะทำการค้าขายด้วยการทรยศคดโกง หักหลัง ติฉินนินทาและให้สินบน
44. ศาสนาจะตกต่ำ ภาษาของดุนยาจะสูง (ไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องของศาสนา)
45. การหย่าร้างจะเกิดขึ้นมาก
46. กฎของอัลลอหฺไม่มีผู้ปฏิบัติ
47. นักร้องที่เป็นผู้หญิงจะเต็มโลก ดนตรีสิ่งบันเทิงเริงรมย์จะแพร่ขยาย
48. คนชั่วในประชาชาติของฉันจะขึ้นมาปกครองประชาชาติของฉัน
49. คนรวยจะไปทำฮัจญ์เพื่อพักผ่อน ส่วนคนชั้นกลางจะไปทำฮัจญ์เพื่อการค้าขาย และคนจนจะไปเพื่อโอ้อวด
50. จะมีพวกหนึ่งซึ่งเขาจะเรียนอัลกุรอานไม่ใช่เพื่ออัลลอหฺ แต่เพื่อการแข่งขัน
51. เอาอัลกุรอานเป็นเครื่องประกอบทางดนตรี
52. ลูกที่มาจากการผิดประเวณีจะมีเต็มบ้านเต็มเมือง
53. จะมีการแข่งขันกันเรื่องของดุนยา
54. และเมื่อความบริสุทธิ์ต่าง ๆ ถูกทำลาย และมนุษย์แสวงหาแต่ความบาป และความชั่วจะมีอำนาจเหนือความดี สิ่งโกหกจะเป็นสิ่งแพร่ขยาย คนยากจนมีอยู่ทั่ว
55. มนุษย์จะโอ้อวดแต่เครื่องแต่งกาย
56. สิ่งชั่วช้าจะแพร่ขยาย
57. ฝนจะตกนอกฤดู
58. มนุษย์จะเชยชมสิ่งที่เท็จ จะปฏิเสธการตักเตือน
59. มุอ์มินในยุคนั้นจะอยู่อย่างอัปยศ
60. จะมีการกล่าวประณาม ในระหว่างผู้ทำดี
61. คนรวยจะไม่กลัวอะไรนอกจากความจน กลัวถึงขั้นว่าขอทานคนหนึ่ง ที่ขอทานตั้งแต่วันศุกร์หนึ่งจนถึงอีกศุกร์ก็ไม่มีอะไรแม้แต่น้อยในมือของเขา (คนจะไม่มีเมตตาซึ่งกันและกัน)
62. จะมีพวกหนึ่งซึ่งจะขึ้นมาเป็นตัวแทนของประชาชนทั้ง ๆ ที่เขาไม่ได้มีสิทธิหน้าที่ความสามารถ และไม่เคยได้รับความลำบาก (เช่นเรียกร้องสิทธิต่าง ๆ แทนคนยากจนแต่ตนเองก็ไม่เคยได้รับรู้ถึงความยากจน หรือความยากลำบาก)
สัญญาณเตือนของศาสนาคริสต์นานาชาติจะเข้าสู่สงคราม จะเกิดการกันดารอาหาร จะมีแผ่นดินไหวหลายแห่ง ทั้งจะเกิดโลกภัยไข้เจ็บแพร่ระบาด จะเกิดมีผู้พยากรณ์เท็จตามที่ต่างๆ ความรักของมนุษย์จะเย็นลง ผู้คนจะเห็นแก่ตัว,เห็นแก่เงิน,หมิ่นประมาทพระเจ้า,อกตัญญู,ไม่รักซึ่ง กันและกัน,ดุร้าย,ไม่มีไมตรีต่อกัน,มีธรรมะแต่ภายนอกแต่ภายในปฏิเสธ มนุษย์จะอยู่ด้วยความกลัว เพราะมืดมน ไม่รู้ทางออก จะมีผู้เผยแพร่พระวจนะของพระเจ้า แจ้งข่าวดีขณะที่ใกล้วันสิ้นโลกจะมีการตกลงกันเพื่อสร้างสันติภาพ จะเกิดความทุกข์ลำบากครั้งใหญ่ การเมือง ศาสนา การค้าของโลกจะเข้าสู่ภาวะวิกฤต และที่สุดก็จะยุติลง โดยการทำลายล้าง ณ อาร์มาเกดดอน เฉพาะแต่คนชั่วจะถูกทำลาย แต่คนที่ผู้ที่เชื่อฟังพระวจนะจะรอด.
สัญญาณเตือนในหลายชนชาติ
วันที่ 22 ธันวาคม 2555 วันโลกาวินาศมหากัปนี้ตามคติในหลายชนชาติ ล้างโลกเพื่อปรับสมดุลของเผ่าพันธุ์มนุษย์โฮโมซาเปียน เผ่าพันธุ์มนุษย์ยินดีกับการเกิดแต่เกลียดชังความตาย จึงหาหนทางที่จะเป็นอมตะประชากรก็มากขึ้นทำให้ทรัพยากรถูกบริโภค และทำร้ายสิ่งแวดล้อมของโลกเมื่อถึงจุดที่จิตใจกำลังมีความตกต่ำ บรรดาพระพุทธเจ้าและพระเจ้าก็มาอุบัติเพื่อปลดปล่อยจิตใจให้เป็นอิสระจากอวิชชา หลุดพ้นจากทุกข์ที่เกิดจากกิเลสบางมหากัปก็ไม่มีพระพุทธเจ้าและพระเจ้ามาอุบัติ และเมื่อถึงวันโลกาวินาศในแต่ละมหากัปก็พยายามจะหาทางรอดจากภัย แทนที่จะปฏิบัติเพื่อปฏิเวชธรรม แต่กลับหาหนทางที่จะอยู่ต่อในวัฏฏะ,
“ศาสดาพยากรณ์ต่างๆ” และจาก โหราจารย์หลายท่าน อาทิ นอสตราดามุส เป็นต้น ในบันทึกที่ นอสตราดามุส ที่มีไปถึงลูกชายที่ชื่อ “ซีซาร์” ว่า “ ก่อนการสิ้นสุดของระบบสุริยะจักรวาล โลกจะท่วมเจิ่งนองไปด้วยน้ำ ระดับของมันจะสูงจนไม่มีแผ่นดินที่ไม่ได้ถูกกลบไปด้วยน้ำ น้ำจะท่วมเป็นเวลานานจนทุกอย่างพินาศหมด ยกเว้นแต่ส่วนที่ไม่ถูกน้ำท่วมก็จะกลายเป็นดินแห้งแข็ง เผ่าพันธุ์ที่หลงเหลืออยู่จะกระเซอะกระเซ้งหนีความตาย แต่ก็คงอยู่ต่อไปอย่างไร้จุดหมาย “
( หน้า 241 ส่องโลกอนาคตล่วงหน้า 2000 ปี กับนอสตราดามุส ศาตราจารย์ เจริญ วรรธนะสิน เขียน สนพ.สารมวลชน พิมพ์ครั้งที่ 3 กรกฏาคม 2533)
......ตลอดจนคำเตือนจากสวรรค์ และคำเตือนจากนรก เรื่องวันทำลายล้างมนุษย์ชาติ วันพิพากษาของพระเจ้า วันที่ไฟบรรลัยกัลป์จะล้างโลก ที่มนุษย์เราได้สร้างความ เลวร้าย สกปรกโสมม เลอะเทอะ วุ่นวาย เพื่อชำระล้างให้หมดไปอีกครั้งหนึ่ง ในอีกไม่ช้านี้
....แน่นอน สิ่งที่จะเกิดขึ้น มิใช่หมายความว่า เมื่อถึงเวลานั้น มันถึงจะเกิดขึ้นทันทีทันใด ปัจจุบันทันด่วน มันก็คงเหมือนการเกิด ภัยธรรมชาติ การเกิดของสงคราม การเกิดวิกฤติการณ์ในสังคม การเกิดแผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด การเกิดของพายุทอนาโด หรือการเกิดคลื่นซึนามิ มันไม่สามารถที่จะกำหนด วัน เดือน และศักราชได้อย่างชัดเจน เหมือนอย่างที่ นักวิชาการ หรือนักพยากรณ์หลายท่านพยายามทำกันอยู่ ทั้งนี้ มันต้องเป็นไปตามหลัก "กฎแห่งปฏิจจสมุปบาท" ตามเหตุ ตามปัจจัย ที่จะมาประชุมครบองค์รวม ได้แก่ การที่มนุษย์ทำลายธรรมชาติสิ่งแวดล้อม ตัดไม้ทำลายป่า สร้างบ้าน แปลงเมือง สร้างสิ่งอำนวยความสะดวกสบาย ที่ต้องเผาผลาญเชื้อเพลิง ฟอสซิลจากใต้พื้นโลก สร้างโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่เพื่อผลิตของใช้ ของฟุ่มเฟือยเกินกว่าปัจจัยสี่ ทำกันอย่างฟุ่มเฟือย อย่างโลภโมโทสัน สร้างสิ่งอำนวยความสะดวกสบาย ขึ้นมามากมายเกินกว่าที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต ทำให้อุณหภูมิของโลกเริ่มร้อนขึ้นเรื่อยๆ จนเป็นเหตุให้เกิดไฟป่าเผาผลาญ ทั้งด้วยตามธรรมชาติ และ โหมเร่งด้วยน้ำมือมนุษย์อีกแรงหนึ่งซ้ำเข้าไปและเมื่อสภาพความเป็นป่าหมดไป คนก็เขาไปบุกรุกสร้างบ้านแปลงเมืองรุกที่ป่าเข้าไปอีก จนเมื่ออุณหภูมิของโลกร้อนขึ้นมากถึงระดับหนึ่ง ทำให้น้ำแข็งที่อยู่ขั้วโลกเริ่มละลาย จากที่เคยมีส่วนช่วย สร้างสมดุลย์ของสภาวะอากาศโลก ชดเชยกับอุณภูมิร้อนแถบเส้นศูนย์สูตร ช่วยทำให้โลกมีความเย็นพอดีไม่ร้อนจนเกินไป และเมื่อน้ำแข็งขั้วโลกละลายมากขึ้น ผืนแผ่นดินใต้ภูเขาน้ำแข็งที่ไม่เคยต้องความร้อนจากดวงอาทิตย์ ก็เริ่มถูกแสงแดดแผดเผา เก็บความร้อนซึมลึกลงสู่ชั้นดินความร้อนเริ่มแผ่กระจายทำละลายน้ำแข็งที่ยังหลงเหลืออยู่ ให้ละลายเร็วขึ้นในอัตราเร่งทวีคูณ อุณหภูมิของโลกก็จะเริ่มร้อนแรงอย่างทวีคูณ ตรีคูณ ไปเรื่อยๆ ปริมาณน้ำจากภูเขาน้ำแข็งที่เคยก่อตัวเป็นภูเขาน้ำแข็งจำนวนมากมายมหาศาล ละลายไหลกระจายตัวถั่งโถม โหมซัดลงสู่มหาสมุทร แม่น้ำ คลอง บึง แผ่นดินทวีปสู่ เมือง น้ำจำนวนมากมายมหาศาลได้เข้าทำลายเมือง สิ่งก่อสร้างที่มนุษย์สร้างมันขึ้นมาด้วยความ โลภโมโทสัน หื่นหิวกระหายอยาก ทั้งอุณหภูมิที่แสนจะร้อนแรง แสงแดดสาดส่องผ่านช่องชั้นบรรยากาศที่ถูกทำลายด้วยคาร์บอนไดอ๊อกไซด์ ที่เกิดจากการปล่อยออกมาจากแหล่งกำเนิดพลังงานแห่งความสุข ความสะดวก ความสบายที่มนุษย์สร้างมันขึ้นมาเพื่อปรนเปรอให้ตนเอง ความร้อนจากดวงอาทิตย์สาดแสงส่งคลื่นความร้อน 20,000 องศาเซ็นเซียส ลงมาแผดเผา ทุกสรรพสิ่งที่มีชีวิต ให้มอดไหม้เป็นจุลจนหมดสิ้น แล้วแต่ว่า เหตุปัจจัยดังที่ได้กล่าว จะเข้ามา ปรุงแต่งจนครบองค์รวม แห่งความวิบัติแห่งมนุษย์ชาติ แต่ก่อนที่มันจะเกิด มันจะต้องมีการส่งสัญญาณแห่งความวิบัติให้รู้สึกได้ ที่ละน้อยๆ ก่อนที่ความวิบัติมันจะเกิดขึ้นจริง ซึ่ง ณ ขณะนี้ การส่งสัญญาณเตือนภัยมันก็ได้ทำหน้าที่ของมันแล้ว
.....คนส่วนใหญ่ มักไม่ค่อยเชื่อ เพราะคิดว่าคำเตือนเหล่านั้น เป็นนิทานหลอกเด็ก ไร้สาระ และไม่คิดว่า มันจะเกิดขึ้นจริง เพราะ ยังไม่มีข้อพิสูจน์ ในทางวิทยาศาตร์ เห็นเป็นรูปธรรมมีแต่เพียงขัอสันณิษฐาน ทางทฤษฎีเท่านั้น
ความไม่เชื่อของคนที่ “คิดว่าตนเองโง่” ก็พอทำเนา เพราะความที่ตนไม่รู้ ก็เลยไม่เชื่อ แต่สามารถ สั่งสอน ชี้แนะได้ แต่ความไม่เชื่อของคนที่คิดว่า “ตนเองรู้”, “ตนเองฉลาด” นี่ซิ น่ากลัว เพราะ นอกจากตัวเองจะยังไม่เชื่อ ไม่ศรัทธาในคำสอนคำเตือนแล้ว ยังพยายาม คิดคำอธิบาย คิดข้อพิสูจน์ ตามภูมิปัญญาของตัวเองที่คิดว่า ตนเองรู้แล้ว มาอธิบายให้คนอื่นๆ เชื่อตามความโง่ของตนเอง ด้วย
....ในครั้งพุทธกาล สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ทรงหยิบใบไม้มาหนึ่งกำมือ แล้วตรัสถาม พระอานนท์ ว่า “ พระอานนท์ ใบไม้ในกำมือเรา กับใบไม้ในป่า อย่างไหน มีมากกว่ากัน พระอานนท์ ตอบสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่า “ ใบไม้ในป่ามีมากกว่า ส่วนใบไม้ในกำมือ ของพระองค์มีน้อยกว่าพระเจ้าค่ะ “ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงตรัสว่า “ นั่น แลพระอานนท์ เปรียบดัง ความรู้ที่เรามีอยู่ เปรียบเทียบกับใบไม้ในกำมือของคถาคต ส่วนความรู้ที่เรายังไม่รู้ เปรียบ ดั่งใบไม้ที่อยู่ในป่า ซึ่งยังมีมากมายมหาศาลนัก “
......ข้อนี้ เป็นข้อเตือนใจ สิ่งใดที่เรา ไม่รู้ เราไม่เชื่อ ไม่ใช่ว่า มันจะไม่มี ไม่เกิด หรือไม่จริง หากเรา ยังไม่รู้ ก็อย่าด่วนสรุปว่า มันไม่มี มันไม่จริง และอย่าพยายามใช้ภูมิปัญญาภายใต้สภาวะ วิทยาศาสตร์จิตนิยม มาอธิบาย ให้คนเชื่อตามตน ด้วยมิจฉาทิฐิ ดั่ง กรณี ความวิบัติจากภัย“ซึนามิ” ที่ ภาคใต้ หรือกรณี เกิดภัยพิบัติ น้ำป่าทะลักพาดินโคลน ถล่มท่วม พังไปทั้งเมือง ที่ นักวิชาการหลายท่านไม่เคยเชื่อว่า มันจะไม่เกิดขึ้นในเมืองไทย หรือคำพยากรณ์ และการเตือนภัยจากนักธรณีฯบางคนที่เคยพูดถึงเรื่อง น้ำจะท่วมประเทศไทย หายไป สองในสามส่วน ก็ไม่มีคนอยากเชื่อ ยังมีนักวิชาการบางคนลุกขึ้นมาโต้ตอบ ว่าเป็นไปไม่ได้ แน่นอน
......จึงทำให้ คนตกอยู่ในความประมาท แต่มิได้หมายความว่า จะตกใจตื่นตูม โดยไร้สติ ก็หาไม่
เพื่อเตือนสติมนุษย์เรา ให้ไม่ตกอยู่ในความประมาท บุกรุกตัดไม้ทำลายป่า สร้างบ้านแปลงเมือง รุกรานธรรมชาติ ทำลายสิ่งแวดล้อม อย่างบ้าระห่ำ หลงระเริง มัวเมา อยู่ในกองกิเลส ตัณหา ความสนุกสนานและอบายมุข ทั้งหลายแหล่
.... คลื่นซินามิที่ภาคใต้ของประเทศไทย ใครจะคิดว่า เมืองไทยก็มี หรือว่ามันจะเกิดขึ้นมาได้ แม้แต่ได้มีการเตือนภัยไว้ก่อนแล้ว ก็ยังไม่มีใครเชื่อมิหนำซ้ำยัง ก่นด่ากล่าวโทษสาปแช่งผู้ที่เตือนภัยจนเสียหายเสียผู้เสียคน ก็นั่นงัย ที่ทำให้มีคนตายจำนวนมากมาย
...ทุกวันนี้ ข่าวเรื่อง ภัยธรรมชาติ ภัยพิบัติ และภัยต่างๆที่เกิดจากฝีมือมนุษย์ด้วยกันเอง มีให้เห็นกันอยู่ทุกวันมิได้ขาด
.......เมื่อเรารู้ได้ดังนี้ แล้ว ...เราจะมีส่วนช่วยกันชะลอ การเกิดความวิบัติให้ช้าลง ช้าลง และหมดไปในที่สุด หรือจะช่วยกันเร่งความวิบัติให้เกิดเร็วขึ้นๆ เรื่อยด้วยความหลงระเริง โลภโมโทสัน แก่งแย่งแข่งขัน กัน ต่อไป หรือ?
.....คำว่า "ความเจริญ " ..... เป็นถ้อยคำที่มีความหมายในทางที่ดี เรามักจะนึกถึงแต่ด้านที่ดี ซึ่งเสมือนจะเป็นความหมายเชิงบวก แต่สภาพความจริงแล้ว ส่วนใหญ่เรามิได้คิดให้ไกลออกไปถึงผลสัมฤทธิ์ที่แท้จริงที่มันจะเกิดขึ้น จากผลแห่งความเจริญ ว่า มันจะส่งผลกระทบในด้านลบอะไร.... สิ่งที่จะเกิดขึ้น มันมีผลเกี่ยวเนื่อง จากความเจริญ.หรือเปล่า. เราลืมไปสิ่งเหล่านั้น แท้จริงแล้วสิ่งที่เราเรียกมันว่าเป็นความเจริญ มันเป็นเพียงความเจริญแต่เฉพาะเพียงด้านวัตถุเพียงอย่างเดียวเท่านั้น มันไม่ได้มีความหมาย รวมไปถึงความเจริญทางด้านจิตใจเลย แต่โดยนัยยะแล้ว เราจะหมายรวมไปว่า จิตใจก็เจริญด้วยที่เราเรียกว่า ชนชาติที่เจริญ(ทางวัตถุ)ว่า "อารยะชน" แต่แท้ที่จริงแล้ว ผิดถนัด หากเราศึกษาประวัติศาสตร์ดูให้ดี เราจะพบว่าหนทางแห่งความเจริญรุ่งเรืองของชนชาติมนุษย์ที่เรียกว่าผู้เจริญ ล้วนแล้วต้องทำสงคราม แย่งชิง ยึดครอง ปล้น ฆ่า ข่มขืน ทำลายล้าง ชนเผ่าอื่นๆที่อ่อนแอกว่าทั้งสิ้น ซึ่งแท้ที่จริงแล้ว มันกลับเป็นปฏิภาคส่วนกลับเสียด้วยซ้ำไป
... เราส่วนใหญ่มักใช้วิธีการคิด แบบเชิงเดี่ยวอยู่เสมอ จึงทำให้เกิดปัญหา เกิดความขัดแย้งในสังคม ทั้งๆที่เราก็ต่างคิดว่า ตนเองถูก ฝ่ายตรงข้ามผิดอยู่เสมอ การพัฒนาความเจริญก็เช่นกัน เราก็จะคิดแบบเหมารวมว่ารวมถึงความเจริญด้านจิตใจด้วย เลยไม่ได้คำนึงถึง ความเสื่อมทางจิตใจของชุมชนนั้น สังคมนั้น จะเริ่มเกิดมีขึ้นเป็นเงาตามตัว ควบคู่กันอยู่เสมอ ดั่งหนึ่ง มีสีขาวก็ต้องมีสีดำ มีความสว่างก็ต้องมีความมืด มีด้านบวกก็ต้องมีด้านลบ มีสิ่งที่ชอบก็ ต้องมีสิ่งที่ไม่ชอบ และมี สิ่งที่ดีก็ต้องมีสิ่งที่เลว คู่กันอยู่เสมอ นั่นเป็นสัจจธรรมของโลก
.... ถามว่า..เราเคยให้ความสนใจอย่างจริงจังไหมว่า ผลกระทบด้านลบที่จะเกิดขึ้นจากสิ่งที่เราเรียกว่าความเจริญ มันจะส่งผลร้าย อันจะนำมาซึ่งภัยพิบัติต่อชีวิต ทรัพย์สิน ความอยู่รอดของมนุษยชาติ และเราจะป้องกัน แก้ไขกันอย่างไร กับสิ่งที่เราเรียกว่ากันว่าเป็น การสร้างความเจริญ หรือเราคิดว่า เวลาที่มันจะเกิดขึ้น ยังเหลืออีกยาวไกล ในชั่วชีวิตของเรา เราคงไม่ต้องประสบกับมันแน่นอน เข้าหลักที่ว่า "ไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตา"
llnu Hyper (LoGic Man)